วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดิสก์ไดร์ฟ

                                           ดิสก์ไดร์ฟ

เครื่องจานแม่เหล็ก (disk drive) เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูลบนจานแม่เหล็ก มีหลักการทำงานคล้ายเครื่องเล่นจานเสียงธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่แทนที่จะมีเข็มกลับมีหัวอ่านและหรือหัวบันทึก (read-write head) คล้ายเครื่องแถบแม่เหล็กที่เคลื่อนที่เข้าออกได้ เครื่องจานแม่เหล็ก มีสองแบบ คือ แบบจานติดอยู่กับเครื่อง (fixed disk) และแบบยกจานออกเปลี่ยนได้ (removable disk)
จานแม่เหล็กส่วนใหญ่ทำด้วยพลาสติก มีรูปร่างเป็นจานกลมคล้ายจานเสียงธรรมดา แต่ฉาบผิวทั้งสองข้างด้วยสารแม่เหล็กเฟอรัสออกไซด์ การบันทึกทำบนผิวของสารแม่เหล็กแทนที่จะเซาะเป็นร่องเล็ก ๆ การอ่านและการบันทึกข้อมูลกระทำโดยใช้หัวอ่านที่ติดตั้งไว้บนแผงที่สามารถเลื่อนเข้าออกได้

ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้บนรอยทางวงกลมบนผิวจานซึ่งมีจำนวนต่าง ๆ เช่น 100-500 รอยทาง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของจานมีตั้งแต่ 1-3 ฟุต สามารถบันทึกตัวอักษรได้หลายล้านตัวอักษร การบันทึกใช้บันทึกทีละบิตโดยใช้แปดบิตต่อหนึ่งไบต์ จานแม่เหล็กหมุนเร็วประมาณ 1,500-1,800 รอบต่อนาที สามารถค้นหาข้อมูลด้วยเวลาเฉลี่ยประมาณ 50 มิลลิวินาที สามารถย้ายข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงถึง 320,000 ไบต์ต่อวินาที ขอให้เราสังเกตว่าเวลาเฉลี่ยเหล่านี้เป็นเวลาที่ช้ากว่าเครื่องรุ่นใหม่ ๆ มาก

ถ้าต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมาก เขาจะใช้จานแม่เหล็กที่มีจำนวน 2 หรือ 6 หรือ 12 จานมาติดตั้งซ้อนกันตามแนวดิ่ง รวมกันเป็นหนึ่งหน่วย เรียกว่า ดิสก์แพ็ค (disk pack) ซึ่งเราสามารถยกดิสก์แพ็คเข้าออกจากเครื่องได้ การทำเช่นนี้ ทำให้จานแม่เหล็กสามารถทำหน้าที่คล้ายแถบแม่เหล็ก

บาร์โค้ด


                                      บาร์โค้ด
บาร์โค้ด หรือ รหัสแท่ง (อังกฤษ: barcode) เป็นเครื่องหมายแทนข้อมูลชนิดหนึ่งที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้ด้วยแสง (optical machine-readable) ซึ่งข้อมูลนั้นมักเกี่ยวข้องกับวัตถุที่มันติดอยู่ บาร์โค้ดโดยแรกเริ่มใช้รูปแบบ "บาร์" หรือ "แท่ง" คือเส้นขนานหลาย ๆ เส้นที่มีความหนาและช่องไฟต่าง ๆ วางเรียงกันอยู่อย่างมีกฎเกณฑ์ ซึ่งรูปแบบนี้อาจเรียกว่า เชิงเส้น หรือ หนึ่งมิติ (1D) ก็ได้ เวลาต่อมามีการพัฒนารูปแบบเป็นจุด สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม และรูปแบบทางเรขาคณิตอื่น ๆ ใน สองมิติ (2D) ถึงแม้ระบบสองมิตินี้ใช้สัญลักษณ์ที่หลากหลาย โดยรวมก็ยังคงเรียกว่าบาร์โค้ดอยู่เช่นเดิม บาร์โค้ดดั้งเดิมอ่านด้วยเครื่องกราดภาพด้วยแสงชนิดพิเศษที่เรียกว่าเครื่องอ่านบาร์โค้ด แต่ต่อมาเครื่องกราดภาพชนิดอื่นและซอฟต์แวร์แปลความหมายก็มีให้ใช้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงเครื่องพิมพ์ตั้งโต๊ะชนิดที่กราดภาพได้ และสมาร์ตโฟน
บาร์โค้ดถูกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อติดป้ายกำกับรถรางแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จในเชิงพาณิชย์ จนกระทั่งระบบ ณ จุดขายอัตโนมัติในซูเปอร์มาร์เก็ตได้นำบาร์โค้ดไปใช้ ซึ่งเป็นงานหนึ่งที่ทำให้บาร์โค้ดแพร่หลายไปเกือบทั่วโลก การใช้งานบาร์โค้ดก็แพร่กระจายไปยังงานอื่น ๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับการระบุและการจับข้อมูลอัตโนมัติ (automatic identification and data capture: AIDC) บาร์โค้ดสมัยใหม่ในรูปแบบรหัสผลิตภัณฑ์สากล (Universal Product Code: UPC) อันแรกสุดที่ถูกอ่าน คือบาร์โค้ดที่ติดอยู่บนห่อหมากฝรั่งริกลีย์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974
 

รอม

                                                 รอม

คือหน่วยความจำชนิดหนึ่ง ที่มีโปรแกรม หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับ ไมโครโปรเซสเซอร์ได้โดยตรง ซึ่งโปรแกรม หรือข้อมูลนั้นจะไม่สูญหายไป
แม้ว่าจะไม่มีการจ่ายไฟเลี้ยงให้แก่ระบบ ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน ROM จะสามารถอ่านออกมาได้ แต่ไม่สามารถเขียนข้อมูลเข้าไปได้ เว้นแต่จะใช้วิธีการพิเศษซึ่งขึ้นกับชนิดของ ROM

ชนิดของROM
    • Manual ROM
      ROM (READ-ONLY MEMORY)
      ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ใน ROM จะถูกโปรแกรม โดยผู้ผลิต (โปรแกรม มาจากโรงงาน) เราจะใช้ ROM ชนิดนี้ เมื่อข้อมูลนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีความต้องการใช้งาน เป็นจำนวนมาก ผู้ใช้ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงข้อมูลภายใน ROM ได้
      โดย ROM จะมีการใช้ technology ที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่น BIPOLAR, CMOS, NMOS, PMOS
PROM (Programmable ROM)
PROM (PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)
ข้อมูลที่ต้องการโปรแกรมจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เอง โดยป้อนพัลส์แรงดันสูง (HIGH VOLTAGE PULSED) ทำให้ METAL STRIPS หรือ POLYCRYSTALINE SILICON ที่อยู่ในตัว IC ขาดออกจากกัน ทำให้เกิดเป็นลอจิก “1” หรือ “0” ตามตำแหน่ง ที่กำหนดในหน่วยความจำนั้นๆ เมื่อ PROM ถูกโปรแกรมแล้ว

    • ข้อมูลของ EAROM สามารถลบได้โดยทางไฟฟ้าไม่ใช่โดยการฉายแสงแบบ EPROM
โดยทั่วไปจะใช้ EPROM เพราะเราสามารถหามาใช้ และทดลองได้ง่าย มีราคาถูก วงจรต่อง่าย ไม่ยุ่งยาก และสามารถเปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้ นอกจากระบบ ที่ทำเป็นการค้าจำนวนมาก จึงจะใช้ ROM ประเภทโปรแกรมสำเร็จ

เมาส์


                                                                      เมาส์

เมาส์ คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์ (pointing device) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้งานคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่าง ลักษณะ สีสัน ต่างๆกัน บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพื่อให้เมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทและความชื่นชอบของผู้ใช้ เช่นมีขนาดเล็ก มีส่วนโค้งและส่วนเว้าเข้ากับอุ้งมือของผู้ใช้ มีรูปร่างสีสันแปลกตาไปจากรุ่นทั่วๆไป หรือเป็นรูปตัวการ์ตูน และล่าสุดได้มีการพัฒนา เมาส์อากาศ (Air Mouse) ซึ่งสามารถใช้งานเมาส์โดยถือขึ้นมาเอียงไปมาในอากาศโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นรอง ก็สามารถควบคุมตัวชี้ได้เช่นกัน

การทำงานของเมาส์ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณ์สำหรับตรวจจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้งยาง(สำหรับรุ่นเก่า)หรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสง (ในเมาส์ที่ใช้แอลอีดีหรือเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง) โดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

การเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานเมาส์ร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมีการต่อมันเข้ากับช่องต่อของคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคแรกๆนั้นช่องสำหรับต่อเมาส์จะมีลักษณะเป็นหัวกลมใหญ่ภายในมีขาเป็นเข็มเรียกว่าแบบ DIN ต่อมามีการพัฒนาช่องต่อเป็นแบบหัวเข็มที่เล็กลงเรียกว่า PS/2 แต่การเชื่อมต่อทั้งสองแบบนั้นไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลาย จึงมีการพัฒนาช่องต่อแบบ USB ขึ้นมา และในเวลาใกล้ๆกันก็ได้มีการพัฒนาการเชื่อมต่อเมาส์แบบไร้สายขึ้นมาโดยใช้สัญญาณวิทยุเป็นตัวเชื่อมต่อแทนสายเรียกว่า เมาส์ไร้สาย (Wireless mouse)

เมาส์ได้ชื่อมาจากรูปร่างของตัวมันเอง และสายไฟ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหนู (Mouse) และหางหนู และขณะเดียวการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนหน้าจอมีลักษณะการเคลื่อนที่ไม่มีทิศทางเหมือนการเคลื่อนที่

 

องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล


                 องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบ 5 อย่าง (ดังรูป) ได้แก่
1. ผู้ส่ง (Sender) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร (Message) เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูลมีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล เช่น ผู้พูด โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
2. ผู้รับ (Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาให้ เช่น ผู้ฟัง เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
3. สื่อกลาง (Medium) หรือตัวกลาง เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สื่อส่งข้อมูลอาจเป็นสายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล สายใยแก้วนำแสง หรือคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น เลเซอร์ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุภาคพื้นดิน หรือคลื่นวิทยุผ่านดาวเทียม
  4. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกว่า สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้
   4.1 ข้อความ (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น
      4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็นเลขฐานสองโดยตรง
4.3 รูปภาพ (Images) ข้อมูลของรูปภาพจะแทนด้วยจุดสีเรียงกันไปตามขนาดของรูปภาพ
 

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แรม (Ram)


                                          แรม (Ram)
RAM ย่อมาจาก (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำหลักที่จำเป็น หน่วยความจำ ชนิดนี้จะสามารถเก็บข้อมูลได้ เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า มาเลี้ยง ข้อมูลที่อยู่ภายในหน่วยความจำชนิดจะหายไปทันที หน่วยความจำแรม ทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่งและข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าข้อมูล (Input) หรือ การนำออกข้อมูล (Output) โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจำหลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนำเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไป
2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล
3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก ยังหน่วยแสดงผลอื่นที่ผู้ใช้ต้องการ
4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคำสั่ง ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุมจะทำหน้าที่ดึงคำสั่งจากส่วน นี้ไปที่ละคำสั่งเพื่อทำการแปลความหมาย ว่าคำสั่งนั้นสั่งให้ทำอะไร จากนั้นหน่วยควบคุม จะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทำงานดังกล่าวให้ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ
Module ของ RAM
RAM ที่เรานำมาใช้งานนั้นจะเป็น chip เป็น ic ตัวเล็กๆ ซึ่งส่วนที่เรานำมาใช้เป็นหน่วยความจำหลัก จะถูกบัดกรีติดอยู่บนแผงวงจร หรือ Printed Circuit Board เป็น Module ซึ่งมีหลัก ๆ อยู่ 2 Module คือ SIMM กับ DIMM
SIMM หรือ Single In-line Memory Module
โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ data path 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuit board จะให้สัญญาณ เดียวกัน

DIMM หรือ Dual In-line Memory Module
โดย Module นี้เพิ่งจะกำเนิดมาไม่นานนัก มี data path ถึง 64 บิต โดยทั้งสองด้านของ circuited board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน ตั้งแต่ CPU ตระกูล Pentium เป็นต้นมา ได้มีการออกแบบให้ใช้งานกับ data path ที่มากว่า 32 bit เพราะฉะนั้น เราจึงพบว่าเวลาจะใส่ SIMM RAM บน slot RAM จะต้องใส่เป็นคู่ ใส่โดด ๆ แผง เดียวไม่ได้
Memory Module ปัจจุบันมีอยู่ 3 รูปแบบคือ 30-pin, 72-pin, 168-pin ที่นิยมใช้ในเวลานี้คือ 168-pin

ชนิดและความแตกต่างของ RAM
Dynamic Random Access Memory (DRAM)
DRAM จะทำการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ (Capacitor) ซึ่งจำเป็นต้องมีการ refresh เพื่อ เก็บข้อมูล ให้คงอยู่โดยการ refresh นี้ทำให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่องจากที่มันต้อง refresh ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เองจึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM

Static Random Access Memory (SRAM)
จะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM ต้องทำการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูล นั้น ๆ ไว้ และจำไม่ทำการ refresh โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันจะทำการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมันก็คือความเร็ว ซึ่งเร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมัน

 

แอปเปิ้ลเปิดตัว นิว ไอแพด (The New iPad) หรือ iPad 3


       แอปเปิ้ลเปิดตัว นิว ไอแพด (The New iPad) หรือ iPad 3
หลังจากที่สาวกแอปเปิ้ลตั้งหน้าตั้งตารอกันมานาน ล่าสุด แอปเปิ้ลก็ได้เปิดตัวแท็บเล็ต iPad รุ่นใหม่ ออกมาให้ชื่นชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่า iPad รุ่นใหม่ตัวนี้ มาพร้อมคุณสมบัติที่เรียกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง สมกับที่ใครหลายคนตั้งตารอกันเลยทีเดียว

แอปเปิ้ล ผู้ผลิตเทคโนโลยีตระกูล i ได้เปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นล่าสุด The New iPad (iPad 3) ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับ iPad 2 แทบจะทุกประการ แต่มาพร้อมหน้าจอและกล้องที่ชัดขึ้น รองรับเครือข่าย 4G LTE และใช้เป็น Hot Spot ได้ แถมยังมีแอพพลิเคชั่นภาพถ่ายที่น่าสนใจอย่าง "iPhoto" อีกด้วย

สำหรับรายละเอียดสเปคที่โดดเด่นของตัวเครื่องนั้น The New iPad ตัวนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Ratina Display ที่มีความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 2048 x 1536 พิกเซล ซึ่งชัดกว่า iPad 2 ถึง 4 เท่า และละเอียดกว่าความละเอียดระดับ HDTV เสียอีก ส่วนหน่วยประมวลผลนั้น ใช้ชิพ Apple A5X ซึ่งเป็นชิพเซ็ทแบบ Dual-core Processor และระบบประมวลผลภาพ หรือ GPU นั้น เป็นชิพเซ็ทระดับ Quad-core Processor

มาดูเรื่องของกล้องกันบ้าง iPad เวอร์ชั่นใหม่นี้มีการพัฒนาความละเอียดของกล้องด้านหลังให้ อยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถบันทึกวิดีโอแบบ Full HD ได้สบาย
และเลนส์เป็นเซ็นเซอร์แบบ Backside illumination sensor ที่ให้ภาพที่คมชัดไม่ว่าจะอยู่ในภาวะแสงจ้าหรือแสงน้อยก็ตาม แถมยังมีแอพพลิเคชั่นภาพถ่าย iPhoto ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพถ่ายได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส งานนี้ไม่ต้องใช้ทักษะด้านโฟโต้ชอปเลยก็สามารถทำได้



iPad 3


ส่วนความสามารถด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น The New iPad ได้ถูกพัฒนาให้สามารถรองรับเครือข่าย 4G LTE ที่สามารถดาวน์โหลดได้เร็วถึง 73 Mbps และยังรองรับเครือข่าย GSM/UMTS ที่สามารถใช้งานได้ทั่วโลก และที่โดดเด่นมาก ๆ ก็คือ มันสามารถใช้เป็น Hot Spot ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว โดยสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านทาง Wi-Fi, Bluetooth หรือ USB

นอกจากนี้ The New iPad ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่น Dictation ที่จะทำหน้าที่พิมพ์แทนผู้ใช้ โดยมีวิธีใช้งานง่าย ๆ เพียงแค่ผู้ใช้กดปุ่ม Dictation แล้วพูด ระบบก็จะทำการพิมพ์ให้โดยอัตโนมัติ

ส่วนราคาของ The New iPad ตัวนี้ แบ่งเป็น 2 รุ่น คือรุ่น Wi-Fi และรุ่น Wi-Fi + 4G ราคาจาก Apple Store Online Thai ดังต่อไปนี้

รุ่น Wi-Fi : 16GB ราคา 16,500 บาท, 32 GB ราคา 19,500 บาท, และ 64 GB ราคา 22,500 บาท
รุ่น Wi-Fi + 4G : 16GB ราคา 20,500 บาท, 32 GB ราคา 23,500 บาท, และ 64 GB ราคา 25,500 บาท

และแน่นอนว่า เมื่อมีการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่แล้ว iPad รุ่นก่อนหน้านี้ก็จะถูกปรับราคาลดลงตามธรรมเนียม โดย iPad 2 จะปรับราคาลงอีก 3,000 บาท เหลืออยู่ที่ราว ๆ 13,500 บาท

อย่างไรก็ดี ใครที่อยากจะได้ The New iPad มาครอบครอง สามารถหาซื้อ The New iPad ได้แล้วทั่วประเทศจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยทั้ง AIS, True, Dtac หรือสั่งจาก Apple Store Online ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง

 









 

การเลือก Multifunction สำหรับธุรกิจ


          การเลือก Multifunction สำหรับธุรกิจ

ในงานด้านธุรกิจ คุณต้องการเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องสแกน และเครื่องแฟกซ์ ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนี้มีอยู่ในเครื่องมัลติฟังก์ชั่นปริ้นเตอร์ขนาดกระทัดรัดภายใต้ราคาที่คุ้มค่า โดยคำแนะนำในการเลือกมีดังต่อไปนี้...

1.      ตัดสินใจว่าคุณอยากซื้อราคาประมาณเท่าใด เพื่อลดตัวเลือกที่ต้องพิจารณา
2.      เลือกฟังก์ชัั่นการใช้งานที่คุณต้องการมากที่สุด และเลือกรุ่นที่เด่นในฟังก์ชั่นนั้นๆ
3.      เลือกหน่วยความจำให้มากขึ้นมาหน่อย สำหรับการใช้งานในธุรกิจ ควรเลือกรุ่นที่มีหน่วยความจำมากกว่า 16MB ขึ้นไป
4.      ตัดสินใจว่าจะใช้งานอย่างไร หากคุณต้องการพิมพ์สี ให้เลือกอิงค์เจ็ทปริ้นเตอร์ แต่หากปกติแล้วการใช้งานจะสนใจเฉพาะตัวหนังสือ เลเซอร์ปริ้นเตอร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
5.      ออนไลน์เพื่อหาอ่านบทความ เปรียบเทียบข้อมูลแต่ละรุ่น หากข้อมูลในเว็บไซต์ของผู้ผลิดเกี่ยวกับรุ่นที่คุณสนใจ
6.      ดูการรับประกัน ให้แน่ใจว่ามีการรับประกันที่ครอบคลุมถึงค่าอะไหล่และค่าแรงในการซ่อม
7.      ดูความเร็วในการทำงาน หากคุณจะต้องใช้เครื่องในการทำสำเนาจำนวนมาก คุณจะต้องการรุ่นที่สามารถป้อนกระดาษได้เร็ว
8.      เลือกความละเอียด(Resolution) สูงๆ ปกติแล้วความละเอียดสูงหมายถึงคุณภาพที่ดีกว่า ควรจะเลือกอย่างน้อยที่ความละเอียด 600x600
9.      การเชื่อมต่อในสำนักงานเป็นอย่างไร หากมีการเดินระบบแลน หรือไวเลสครอบคลุมอยู่แล้ว ก็จะแชร์เครื่องพิมพ์ได้ง่ายกว่าหากเลือกซื้อรุ่นที่มี LAN หรือ Wireless
ข้อเสนอแนะ และ ข้อควรระวัง
  • ดูความละเอียดในการสแกนดีๆ เพราะเครื่องมัลติฟังก์ชั่นส่วนมากจะให้ความละเอียดในการสแกนที่ต่ำ
  • เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมักจะถูกกว่า และสามารถพิมพ์สีได้ แต่ความเร็วในการพิมพ์กํมักจะช้ากว่าเลเซอร์มาก อย่างไรก็ตาม เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่พืมพ์สีได้ก็มักจะราคาแพงมาก
  • เครื่องมัลติฟังก์ชั่นหลายๆเครื่องไม่รองรับทั้ง Mac และ Windows ดังนั้นควรเลือกรุ่นที่เข้ากับระบบปฎิบัติการที่คุณใช้อยู่
  • ดูความยาวของสายไฟ และสายเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เนื่องจากหลายๆรุ่นอาจะให้สายที่สั้นเกินไป หากเป็นกรณีนี้คุณสามารถซื้อสายที่ยากกว่าต่างหากได้
 

ประโยชน์ของการใช้เครื่องพิมพ์ Core DVD ความร้อน


ประโยชน์ของการใช้เครื่องพิมพ์ Core DVD ความร้อน
ในคนทั่วไปเข้าใจภาษาเครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนสามารถเข้าใจได้เป็นอุปกรณ์การพิมพ์ที่ใช้ความร้อนในการผลิตภาพบนกระดาษ ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีแผ่ในรูปแบบหลากหลายธุรกิจจำนวนมากจะใช้อุปกรณ์การพิมพ์ความร้อนสำหรับวันเพื่อรายการวันที่มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับตั๋วสายการบิน, ธนาคาร, บันเทิง, ของชำ, ร้านค้าปลีกและสุขภาพ มีความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากความสามารถของกราฟิกคุณภาพการพิมพ์ความเร็วและนวัตกรรมเทคโนโลยี

ก่อนที่จะซื้อตามความร้อนหนึ่งเครื่อง DVD ควรรู้เกี่ยวกับประโยชน์ที่มากับ gadget นี้ มีความรู้สมบูรณ์นี้สามารถทราบว่าจะใช้ประเภทของเทคโนโลยีนี้สำหรับงานพิมพ์ที่มือ เพื่อที่จะทำให้คุณคุ้นเคยกับหลักความแตกต่างด้านบวกของเครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนจะแสดงผลทั้งหมดที่เป็นไปได้ของการใช้เครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนในมาเส้น
โหลดมีข้อได้เปรียบในการใช้เครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนรวมทั้งด้านเช่นค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ความเร็วประสิทธิภาพคุณภาพของการพิมพ์และเคลื่อนที่ เท่าที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนประหยัดมากเนื่องจากเป็น inkless นอกจากนี้ไม่ใช้หมึกหรือหมึกจึงหมายความว่า บริษัท หรือบุคคลที่ใช้ gadget นี้สามารถประหยัดเงินเป็นจำนวนมากและหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในเครื่องริบบิ้น ข้อกำหนดสำหรับการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนจะกระดาษเอง

หลายองค์กรทั่วโลกจึงได้ประโยชน์จากการนี้ร้อนเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ DVD เพราะมีประสิทธิภาพและในเวลาเดียวกันเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือ พนักงานสามารถทำงานอย่างต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงการทำลายลงในเวลาทำการของพวกเขาเนื่องจากมีความต้องการเพื่อเปลี่ยนตลับหมึกหรือไม่เมื่อระดับหมึกจะต่ำหนึ่งสามารถเริ่มให้บริการภายในไม่กี่นาที

เหนือความเร็วการพิมพ์ประโยชน์กล่าวเป็นหนึ่งในคุณลักษณะสำคัญที่มักจะถูกพิจารณาและเครื่องพิมพ์ความร้อนจะไม่เกิดปัญหา เครื่องพิมพ์ความร้อนพิมพ์ค่อนข้างเร็วขึ้นอย่างเงียบๆ DVD จะพิมพ์ฉลากได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เครื่องพิมพ์ความร้อนและผลิตประทับใจยาวออกคุณภาพ ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจและปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญโดยใช้เครื่องพิมพ์ความร้อน เมื่อมาถึงปัจจัยประสิทธิภาพงานพิมพ์ที่มีคุณภาพดีจะช่วยให้ความร้อนอีกครั้งเครื่องพิมพ์คะแนนมากกว่าคนอื่นๆ ป้ายสร้างจะชัดเจนมากขึ้นและให้ผลผลิตยาวนานที่ชัดเจนสำหรับหมึกพิมพ์ที่อาจตกได้ง่ายเมื่อเวลาผ่านไป

บนหลักประโยชน์ของทุกคนแตกต่างเครื่องพิมพ์ความร้อนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบสามารถคล่องตัว เครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนมีน้ำหนักเบาและง่ายต่อการพกรอบและสามารถขนส่งไปยังสถานที่ต่างกันได้อย่างง่ายดาย

เครื่องพิมพ์ DVD ความร้อนยังค่อนข้างเป็นประโยชน์ไม่ใช้พื้นที่มากในสำนักงานและส่วนที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ความร้อนที่พวกเขาใช้งานง่ายและใช้งาน
 

Keyboard คีย์บอร์ด คืออะไร

              Keyboard  คีย์บอร์ด  คืออะไร
Keyboard เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นปุ่มตัวอักษรเหมือนปุ่มเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยน เป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่น แรก ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระ PCXT ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น
ประเภทของ Keyboard ดูได้จากจำนวนปุ่ม และรูปแบบการใช้งาน Key board ที่มีอยู่ปัจจุบันจะมีอยู่ 5 แบบ

1. Desktop Keyboard
ซึ่ง Keyboard มาตรฐาน จะเป็นชนิด 101 คีย์


2. Desktop Keyboard with hot keys
เป็น Keyboard ที่มีจำนวนคีย์มากกว่า 101 คีย์ ขึ้นไปแล้วแต่วัตถุประสงค์ใช้งาน ซึ่งจะมีปุ่มพิเศษ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เวอร์ชัน 95 เป็นต้นไป

3. Wireless Keyboard
Keyboard
ไร้สายเป็น Keyboard ที่ทำงานโดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์แต่จะมีอุปกรณ์ ที่รับสัญญาณจากตัว Keyboard อีกทีหนึ่ง การทำงานจะใช้ความถี่วิทยุในการสื่อสาร ซึ่งความถี่ที่ใช้จะอยู่ที่ 27 MHz อุปกรณ์ชนิด นี้มักจะมาคู่กับอุปกรณ์ Mouse ด้วย

4. Security Keyboard
รูปร่างและรูปแบบการทำงานจะเหมือนกับ Keyboard แบบ Desktop แต่จะมีช่องสำหรับเสียบ Smart Card เพื่อป้องกันการใช้งานจากผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ Keyboard ชนิดนี้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ ปลอดภัยสูง หรือใช้ควบคุมเครื่อง Server ที่ยอมให้เฉพาะ Admin เท่านั้นเป็นคนเปลี่ยนแปลงข้อมูล

5. Notebook Keyboard
เป็น Keyboard ที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดบางเบา ขนาดความกว้าง และยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่อง Notebook ที่ใช้ปุ่มบนแป้นพิมพ์จะอยู่ติดกันและบางมาก คีย์พิเศษต่างจะถูกลด และเพิ่มเฉพาะปุ่มที่จำ เป็นในการ Present งาน หรือ การพักเครื่องเพื่อประหยัดพลังงาน